เมื่อวันที่ 23-24 และ 30-31 สิงหาคม 2568 สถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้แก่ Young Good Governance, คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สถาบันราชสุดา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ Sati App ได้จัดกิจกรรม "การประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนานักปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นโดยคนพิการ" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการการพัฒนานักปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้นในคนพิการ ณ ห้องพระเอราวัณ 1-2 โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชัน มีผู้เข้าร่วมกิจกรรม 100 คน แบ่งเป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหว/ร่างกาย 50 คน และคนพิการทางสายตา 50 คน โดยได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนานักปฐมพยาบาลจิตใจเบื้องต้น กลุ่มเป้าหมายคนพิการ
พิธีเปิดกิจกรรมได้รับเกียรติจาก ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวเปิดกิจกรรมครั้งนี้ โดยชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ปัญหาสุขภาพจิตในปัจจุบัน ทั้งในระดับโลกและในประเทศไทยที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นจากเศรษฐกิจ โรคระบาด เทคโนโลยี และสังคม ซึ่งเห็นได้จากผลสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิต ปี 2566 พบคนไทย 13.4 ล้านคน เคยมีโรคจิตเวชและปัญหาสุขภาพจิต
สสส.ให้ความสำคัญในประเด็นดังกล่าว จึงมุ่งส่งเสริมการดูแลสุขภาพจิตในขั้นต้น ที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่ำ โดยให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนให้สามารถดูแลสุขภาพจิตตนเองได้ และพัฒนาบุคลากรให้สามารถปฐมพยาบาลทางใจได้ในขั้นต้น เพื่อเพิ่มจำนวนบุคลากรที่ดูแลสุขภาพจิต โดยได้มีการพัฒนาหลักสูตรที่คนพิการทั้งการมองเห็นและการเคลื่อนไหวสามารถเรียนรู้ เพื่อทำหน้าที่เป็นนักปฐมพยาบาลทางใจได้ และสร้างทางเลือกอาชีพใหม่ให้กับคนพิการ โดยเป้าหมายในปี 2570 จะสามารถพัฒนาคนพิการที่เป็นนักปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้น 500 คน

ด้าน น.ส.เมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ หัวหน้าโครงการฯ กล่าวว่า หลักสูตร Mind First Aid พัฒนามาจากหลักสูตร Psychological First Aid ของมหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปคินส์ และองค์การอนามัยโลก รวมถึงจากประสบการณ์ของการอบรมนักรับฟังของ Sati App และภาคีเครือข่ายภายในประเทศ ซึ่งหลักสูตรที่ผ่านมายังไม่ครอบคลุมถึงความหลากหลายของผู้เรียน โดยเฉพาะในเนื้อหาที่ต้องพึ่งพาประสาทสัมผัสในการมองเห็น จึงได้ออกแบบหลักสูตร Mind First Aid ในรูปแบบ Universal Design ที่ทุกคน รวมถึงคนพิการสามารถเรียนรู้พัฒนาทักษะการรับฟังและการเข้าใจผู้อื่นแบบไม่ตัดสินได้ ทางโครงการได้มีการพัฒนา E-Learning นี้ ประกอบด้วย 14 บทเรียน โดยมีเนื้อหาสำคัญ เช่น ทำความเข้าใจสุขภาพจิต ความเครียด การดูแลใจตนเอง การสร้างสัมพันธภาพ การใช้คำถาม การสะท้อนความรู้สึก ซึ่งฟรีไม่เสียค่าใช้จ่ายและรับประกาศนียบัตรเมื่อเรียนจบ โดยในระยะแรกตั้งเป้าพัฒนาคนพิการกว่า 100 คน

ด้าน ผศ.ดร.ธีรพัฒน์ อังศุชวาล ที่ปรึกษาโครงการฯ กล่าวว่า ตอนนี้มีการนำร่องการจ้างงานคนพิการที่ผ่านการอบรมการเป็นนักปฐมพยาบาลทางใจแล้ว 10 คน พบว่า คนพิการกลุ่มนี้สามารถทำงานเป็นนักรับฟังแบบไม่ตัดสินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โมเดลการพัฒนาศักยภาพนักปฐมพยาบาลทางใจให้กับคนพิการนี้ นอกจากจะเพิ่มคนทำงานด้านสุขภาพจิต แต่ยังช่วยสร้างทักษะและยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนพิการ รวมถึงเพิ่มทางเลือกอาชีพใหม่ให้กับคนพิการผ่านการจับคู่กับบริษัทผู้ว่าจ้างตามมาตรา 35 ของกฎหมายส่งเสริมการจ้างงานด้วย

รูปแบบการอบรมตลอดทั้งสองวันจะเป็นกระบวนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ของตนเอง (Experiential Learning) ผ่านการทำกิจกรรม การแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด และประสบการณ์ เพื่อเติมข้อมูล มุมมอง หรือทักษะใหม่ ๆ การใช้คำถาม คิด วิเคราะห์ จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ และการนำไปประยุกต์ใช้จริงในชีวิตประจำวันได้


การอบรมวันแรกมีกิจกรรมที่เติมทักษะและมุมมองใหม่ของผู้เข้าร่วมกิจกรรมดังนี้
- กิจกรรมตัวตน โดยแชร์ในกลุ่มย่อยว่า “ถ้าจะเปรียบตนเองให้เป็นอะไรสักอย่างหนึ่งที่ตรงกับตัวตนของเรามากที่สุด อะไรสักอย่างหนึ่งนั้นคืออะไร" เพื่อให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทบทวนตนเองและได้ฝึกทักษะการฟังเรื่องเล่าจากผู้เข้าร่วมคนอื่น รวมถึงสร้างสัมพันธภาพระหว่างกัน
- กิจกรรมใคร ๆ ก็เป็นผู้ฟังที่ดีได้ (ประสบการณ์ฟัง) เป็นการแชร์ประสบการณ์ “การไปขอรับคำปรึกษาที่จำได้ไม่เคยลืม” หลังจากนั้นจะมาสรุปร่วมกันถึงคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ให้คำปรึกษาเบื้องต้น
- กิจกรรมสิ่งที่ได้ยิน (การฟังและความรู้สึก) การได้ยินเรื่องเดียวกัน อาจจะมีการตีความที่แตกต่างกันผ่านมุมมอง ประสบการณ์ อารมณ์/ความรู้สึก ดังนั้น การรับฟังจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อสร้างความเข้าใจในสิ่งที่คนมารับคำปรึกษาสื่อสาร
- กิจกรรมบอกหน่อยได้ไหม ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “ผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง”
- กิจกรรมปรับเท่าไหร่ เพื่อให้ตระหนักว่าทัศนคติหรืออคตินั้นอาจส่งผลต่อการให้คำปรึกษาได้

สำหรับวันที่สองของการอบรมเนื้อหาจะมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น วิทยากรพาผู้เข้าร่วมกิจกรรมเรียนรู้และฝึกฝนกับทักษะที่สำคัญของการรับฟัง ดังนี้
- กิจกรรมฝึกปฏิบัติการรับฟัง (ฝึกจับความรู้สึกและจับประเด็นสำคัญ)
- กิจกรรมทวนความและตั้งคำถาม
- กิจกรรมสไตล์การฟัง
นอกจากนี้ยังมีการแชร์ประสบการณ์การทำงานเป็นนักปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้นจากคนพิการที่อยู่ในโครงการ Mind First Aid Service สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการอบรมในรอบเดือนเมษายนที่ผ่านมานั้นมีประโยชน์และได้นำมาใช้ในการทำงานจริง และการดูแลใจตนเองหลังจากการเป็นนักปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้นจากนักจิตวิทยาให้คำปรึกษาด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมทุกคนสามารถนำไปใช้ในการดูแลใจตนเองอย่างง่ายด้วย
TIMS ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการดี ๆ ที่สร้างสังคมแห่งการรับฟัง รวมถึงเป็นการเปิดทางเลือกเส้นทางอาชีพใหม่ให้คนพิการ หวังว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้รับความรู้ ความสนุกสนาน และประสบการณ์จากการอบรมครั้งนี้ไปใช้ต่อในชีวิตประจำวันต่อไป




อ้างอิง
The Bulletin : แหล่งรวมความรู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น.(2568).สสส.หนุนคนพิการก้าวข้ามข้อจำกัด สู่นักปฐมพยาบาลทางใจ ตั้งเป้าเพิ่มอาชีพ 500 คน ในปี 70 [status update]. Facebook.https://www.facebook.com/share/p/1FxmCYYLw4/